หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

งานนำเสนอ 1

ไพล์วิดีโอนี้ประกอบการเรียนในชั่วโมง
เรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

จัดทำโดย
ด.ช.โยธิวาธิน   พรมสุรินทร์

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันแม่แห่งชาติ


วันแม่แห่งชาติ
      ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มี วันแม่ อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มี วันแม่ ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็น วันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับ วันแม่ ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
 คุณแม่เกิด วันจันทร์
             ตามราศีเกิดแล้วเป็นคุณแม่อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม อุปนิสัยร่าเริง รักธรรมชาติ มีความโรแมนติก ของขวัญที่เหมาะจัดอยู่ในประเภท Glamorous Sweet เฉดสีอ่อนหวาน ได้แก่ ผ้าพันคอจับพลีทพิมพ์ลาย เข้าคู่กับกำไลทองตกแต่งด้วยคริสตัล ส่วนของตกแต่งเป็นผีเสื้อคริสตัล
  คุณแม่เกิด วันอังคาร
             คนเกิดวันนี้เป็นคนรอบรู้ ช่างเจรจา ชอบความหรูหรา มีบุคลิกงามสง่า เมื่อเลือกของขวัญควรเน้นที่ดีไซน์เรียบโก้ เช่น กระเป๋าถือสีดำตกแต่งพวงกุญแจลายโมโนแกรม เครื่องประดับควรเป็นไข่มุก เช่น สร้อยคอมุกสร้อยมือมุกประดับเพชร กรอบรูป กล่องเงินใส่ของกระจุกกระจิก เป็นต้น
  คุณแม่เกิด วันพุธ
             มีบุคลิกคล่องแคล่ว ชอบพบปะผู้คน มีเสน่ห์เฉพาะตัว เลือกของขวัญตามบุคลิกนิสัยได้ดังนี้ รองเท้าส้นสูงประดับหมุด กระเป๋าถือ นาฬิกาข้อมือสายหนัง กำไรคริสตัล หรือ กระเป๋าราตรี
  คุณแม่เกิด วันพฤหัสบดี
          เป็นคุณแม่หวานซ่อนเปรี้ยว ช่างแต่งตัวเชื่อมั่น ต้องเลือกเครื่องประดับมีเฉดสีและลวดลาย ได้แก่ กระเป๋าสีแดง รองเท้าส้นสูงลายเสือ กำไลเงินถักประดับเพชร เป็นต้น
  คุณแม่เกิด วันศุกร์
               มีบุคลิกอ่อนหวาน รักสวยรักงาม เป็นซูเปอร์มัม แต่ก็ใส่ใจในรายละเอียด ของขวัญต้องดูเก๋เท่สักหน่อย เช่น ผ้าพันคอพิมพ์ กระเป๋าสะพายหนังแกะ แว่นกันแดดเท่ๆ กรอบรูปเงิน หรือหนังสือน่าอ่านสักเล่มสองเล่ม
 คุณแม่เกิด วันเสาร์
              เลือกของขวัญสไตล์เรียบง่าย เพราะเป็นคุณแม่ที่มั่นใจในตัวเองได้แก่ นาฬิกาแบบเรียบสายหนังสีขาว หรือ ถ้าเลือกแบบสายหนังสีดำ ก็มีดีไซน์เรียบเท่ นาฬิกาประดับเพชร ก็น่าจะถูกใจ
 คุณแม่เกิด วันอาทิตย์
               ของขวัญโดนใจเป็นพวกเครื่องประดับหลากหลาย แต่ต้องมีรายละเอียดดูเก๋ๆ ตามบุคลิกนิสัยที่ใจดี รักอิสระ ความคิดโลดแล่นรวดเร็ว เช่น เครื่องประดับที่ตกแต่งด้วยเพชร คริสตัล อาจจะเป็นเข็มกลัด แหวนทรงกลมประดับเพชรหรือต่างหูฝังเพชร เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา





วันอาสาฬหบูชา
       ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2555 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม
       ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8
        วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
         ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า  "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตาม
 กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา
           พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...




วันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดช่วงฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เรียกว่า "ปุริมพรรษา"
ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า "ปัจฉิมพรรษา" เว้นแต่มีกิจธุระคือเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืน เรียกว่า "สัตตาหะ" หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด
สำหรับข้อยกเว้นให้ภิกษุจำพรรษาที่อื่นได้ โดยไม่ถือเป็นการขาดพรรษา เว้นแต่เกิน 7 วัน ได้แก่
          1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
          2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้
          3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
          4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้       นอกจากนี้หากระหว่างเดินทางตรงกับวันหยุดเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆ องค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่า ที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้ง ถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีก เพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้